
พักภาวนาที่เข้าระยะหนึ่งก็ออกเดินทางยังเขาโซ่อ.วังน้ำเขียว เขาโซ่นี่ก็ไกลจากหมู่บ้านบ้านราว7-15ก.มใช้เวลาเดินขึ้น8-9โมง ถึงราว17น หาที่ปักกลดใต้เงื้อมผา แล้วเดินสำราจแหล่งน้ำช่วงนั้นช่วงมีนาคม เมษายน ฤดูแล้งขาดแคลนนำ้ เลยอธิฐานกับเจ้าที่เทวดาอารักษ์ที่อยู่ภูเขาลูกขอให้พระคุณเจ้าได้สรง ได้ใช้ด้วยเถิด เดินไปพบนำ้ซับทำการลอกดินออก มีน้ำใสๆไหลออกมารอสักพักก็ได้อาบสรง และตักมาต้มนำ้ร้อน ได้ชงนำ้ปานะ เสร็จก็เข้าทำวัตร ภาวนาด้วยที่เดินแบกบริขารขึ้นเขาเหนื่อยล้าการนั่งภาวนาจิตรวมง่ายโน่นราว23.น ถึงค่อยเอนกายพักตั้งสติไว้ว่าถ้ารู้สึกตัวจะตื่นขึ้นมาปรารภความเพียร ก็ตื่นขึ้นมาราวตี2 ล้างหน้าแล้วเข้าทำวัตรภาวนาจน7.8โมงเช้า ก็ฉันอาการเป็นอาหารเจง่ายๆผักเต้าฮู้แห้งถั่วพอร่างกายอยู่ได้นำ้ผึ้ง สายออกเดินสำรวจป่าหาที่สัปปายะในการปักกลดเดินไปไกลราว4-5ช.ม แล้วกลับมาเข้ากลดภาวนาในคืนที่4ของการปักกลดอยู่ใต้เงื้อมผานั้น ราว4-5ทุ่ม มีร่างของภิกษุชราปรากฏยืนอยู่ที่เงื้อมถ้ำเราก็กราบ ท่านถามเราก่อนว่ามาธุดงค์ ได้สมาทานธุดงค์ไหม มีข้อไหนบ้าง ก็กราบเรียนตอบท่านไปว่าอยู่ป่าอยู่โคนไม้อยู่เงื้อมเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร รุกขมูลเป็นวัตร องค์ท่านก็แสดงธุดงค์วัตร13 ให้ฟังไล่ทีละข้อให้ฟังอย่างแจ่มแจ้งเป็นเวลาราว3-4ช.ม จบก็สาธุการแล้วกราบขอโอกาสถามท่านที่มาโปรดแสดงธรรมให้ฟังนี่เป็นใครหนอ ท่านบอกว่าท่านคือพระมหากัสปปะเถระ เราพอทราบนามท่านเท่านั้นแหละน้ำตาแห่งความปีติไหลออกมาแทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้มาพบพระอรหันต์องค์เอกผู้เลิศด้วยธุดงค์วัตร มาสอนเรื่องข้อวัตรของธุดงค์เข้าใจแจ่มแจ้งเลยแล้วท่านก็ทำนายอนาคตของเราด้วยว่าต่อไปในภายภาคหน้า

หลังจากกราบท่านท่านกลับไปแล้วเราก็นั่งทบทวนธรรมที่ท่านแสดง จนถึงเช้า มีปีติอิ่มเอิบมีขัวญมีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เร่งปรารภความเพียร สลับกับการออกเดินสำสรวจสถานที่ เดินไปขากลับพบงูจงอางตัวใหญ่ ยาวราว3-5ม.2ตัวเกี้ยวกัน พอดีได้มองไกลๆในการเดินป่า เลยเห็นเขาก่อนเลยเดินเลี่ยงๆไป ไม่งั้นถ้าเจอระยะใกล้คงไม่มีที่หลบแน่ อีกวันต่อมาช่วงบ่ายลงไปสรงนำ้ได้ยินเสียงใบไม้แกรกกราก มองลงไปเห็นงูจงอางตัวนั้นลงมากินนำ้ตรงบ่อนำ้ซับที่เราจะลงไปสรงนั่นแหละ ตัวสั่นเลยเพราะอยู่ระยะใกล้ราว2-3มี.ก็จะถึงตัวเรายืนขาแกร็งก้าวขาไม่ออก กำหนดจิตแผ่เมตตาให้งูตัวนั้นสักพักราว10นาทีเขาก็เลื้อยหายเข้าไปในราวป่า ดีที่เขาไม่ทำร้ายเอา เพราะจงอางลงได้วิ่งไล่เลื้อยจะฉกใครจะไม่ลดละไล่ตามไม่ยอมหยุดรามือง่ายๆ นี่ก็เป็นประการณ์เฉียดความตายครั้งหนึ่ง



พักภาวนาที่เงื้อมถ้ำราว1อาทิตย์เริ่มคุ้นชินสถานที่เลยย้ายที่ปักกลด ไปบนหน้าผามีกลุ่มไม้ตะเคียนแวดล้อมอยู่หลายต้นมีแต่ต้นโตๆ คำ่ก็เข้ากลดภาวนาสักราว3-4ทุ่มมีแสงสว่างมากระทบกลดลืมตาขึ้นมาเห็นผู้หญิงสาว3คนใส่ชุดสะใบเฉียงสีเขียว สีชมพู สีแดงสดใส เข้ามากราบสนทนากันสักพักเขากราบนิมนต์ไปบ้านเขาเราบอกว่าไม่ไปหรอก พวกท่านเป็นใครเขาบอกว่าเป็นนางตะเคียน เขาชี้มือไปยังต้นตะเคียนกับกลายเป็นบ้านทรงไทยเป็นหมู่บ้านเลย ก็เลยเทศน์โปรดพวกเขาทั้ง3นางอยู่ราว ช.ม นางก็กราบรลากลับไปแล้วบอกว่าตอนเช้านำภัตตาหารมาถวาย สายราม8โมงทั้ง3นางและบริวารนำข้าว อาหาร ผลไม้มาถวาย รับแล้วทำการปฏิสังขาโย พิจารณาอาหารไม่ให้เป็นโทษแล้วตักเข้าในบาตร ให้ศีลให้พรกล่าวสัมโมทนียคาถา ให้เขาได้ปลื้มปีติในบุญที่ได้ทำแล้ว เขาฉันภัตตาหาร พวกเขาก็กราบลากับไปยังต้นตะเคียนหายวับเข้าไปในต้นตะเคียน ถ้าตอนที่เขามาถ้าเรามีจิตปฏิพัทธ์ เขาเอาเราไปไว้ในต้นตะเคียนแน่ ก็เดินจงกรมภาวนาอยู่2วันร่างกายเริ่มอ่อนเพลียเพราะฉันอาหารเจมาราวเกือบ2เดือนแล้ว เลยอธิฐานเทวดาเจ้าที่เจ้าป่าที่เขาโซ่อยากทำบุญไหมสัตว์ตัวไหนถึงคาดก็เอาเนื้อมาถวายพระคุณเจ้าด้วยเถิดบ่ายบ่ายวันนั้นได้ยินเสียงปืนที่ไหล่เขาด้านล่างเราก็ไม่สนใจจนบ่าย2บ่าย3พระที่ไปด้วยเรียกให้ไปดู มีหมูป่ามาล้มตายอยู่ข้างก้อนหินที่พระรูปนั้นปักกลดอยู่ พอดีเย็นวันนั้นโยมบ้านเขาโซ่ขึ้นมากราบพอดีเลยให้เขากัปปิหมูตัวนั้น เช้าเลยได้ฉันเนื้อหมูป่า ที่เจ้าป่าถวาย และก็ทำไว้ให้ได้ฉันหลายวันร่างกายก็พอทีกำลังฟื้นกลับคืนมาบ้าง อีก2-3วันจะลงจากเขาโซ่พระมหากัจจะยานะ ท่านมาแสดงธรรมโปรด ลึกซึ้งมากฟัง4-5ช.มจิตผ่องใสสว่างไสวมากดื่มดำ่อาบเอิบปีติในธรรมมากยิ่งนัก จนถึงวันที่จะจากลาเขาโซ่ ไม่ลืมแผ่เมตตาอุทิศบุญให้แก่เจ้าที่ที่เขาโซ่ที่ดูแลอุปฐากพระ ให้ความอารักขา และถวายอาหารเนื้อหมูป่า ให้ร่างกายทรงธาตุทรงขันธ์ต่อไป ได้เวลาย้ายเดินทางไปเขาแก้ว อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี โปรดติดตามตอนต่อไป